
แหล่งของรถมือสอง
เต็นท์รถมือสอง เว็บไซต์ขายรถมือสอง และจากพรรคพวกเพื่อนฝูง ทั้งสามแหล่งนี้คือตลาดซื้อขายรถมือสองที่ที่เราจะหารถมือสองได้สักคันหนึ่ง แหล่งแรกคือเต็นท์รถมือสอง เวลาไปเต็นท์เราจะเห็นรถจอดมากมาย มีทั้งรถเต็นท์และรถบ้านฝากขาย มีให้เลือกเยอะจนเลือกกันไม่ถูกเลยทีเดียว
พูดถึงรถเต็นท์ก็มีสองลักษณะ คือ รถที่เต็นท์ซื้อหรือรับเทิร์นมากับรถที่มีผู้มาฝากขายไว้กับตลาดซื้อขายรถมือสอง อย่างแรกจะสังเกตได้ง่ายคือรถเหล่านี้จะถูกปรับสภาพเสียจนเช้งวับ ทั้งภายนอกภายในรวมถึงห้องเครื่องยนต์
ส่วนรถฝากขายจริงๆ อย่างมากก็แค่ล้างขัดสี และทำความสะอาดภายในใหม่แค่นั้น ไม่ได้ทำอะไรมากจนกว่าจะขายได้แล้วค่อยตกลงกับผู้ซื้ออีกที แต่ก็มีบ้างที่เต็นท์รับซื้อรถมือหนึ่งจากเจ้าของมาแล้วบอกว่าเป็นรถฝากขายก็มี เพราะทำราคาได้ดีกว่ารถมือสองมือสาม
รถเต็นท์ที่ตลาดซื้อขายรถมือสองมีทั้งสภาพดีและสภาพทำให้ดูดี สังเกตง่ายๆ ได้จากราคารถ บางทีรุ่นเดียวกันปีเก่ากว่าแต่แพงกว่าปีใหม่ๆ ก็มี นั่นก็เพราะสภาพดั้งเดิมเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นเวลาซื้อรถมือสองมันไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวนัก
แหล่งที่สองคือเว็บไซต์ สะดวกรวดเร็ว หาได้ง่ายและมีรถใหม่ๆ เข้ามาแทบจะทุกชั่วโมง เว็บไซต์มีทั้งส่วนของเต็นท์ขายเอง และรถบ้านฝากขาย แต่หลังๆ เราจะเห็นว่าคำว่ารถบ้านฝากขายจำนวนมากเป็นรถเต็นท์ทั้งนั้น ดังนั้นวิธีหารถจากเว็บไซต์จะมีความสะดวกก็จริง แต่ท้ายที่สุดต้องไปดูและพิจารณาให้ถี่ถ้วน ไม่ใช่แค่เขาบอกว่ารถบ้านก็เชื่อ
แหล่งที่สามคือพรรคพวกเพื่อนฝูง แหล่งนี้จะค่อนข้างดีหน่อยแต่อาจจะไม่ได้รถที่ถูกมากนักในบางครั้ง เพราะเจ้าของขายเอง หลายครั้งก็ไม่อยากขายถูกเนื่องจากขาดทุนเยอะ กรณีนี้ถือว่าผู้ซื้อเจอกับผู้ขายโดยตรง สนนราคาก็น่าจะคุยกันไม่ยาก คนซื้อก็ซื้อถูกกว่าเต็นท์ คนขายก็ขายได้ราคากว่าขายเต็นท์ ก็น่าจะสมประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย และที่สำคัญคือเราสามารถทราบประวัติการใช้รถได้จากคนที่เราไว้ใจได้
ที่มาของรถทั้งสามแหล่งข้างต้น เป็นเพียงพื้นฐานให้รู้ว่าแหล่งไหนมีความน่าเชื่อถือมากกว่ากัน ถ้าจะให้คะแนนก็ไล่จากแหล่งที่สามขึ้นไป ไม่ว่าจะพบเจอรถจากแหล่งไหน ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องดูรถโดยใช้พื้นฐานเดียวกัน เพราะมีโอกาสเจอรถที่ไม่สมบูรณ์ได้เท่าๆ กัน
หลักการซื้อรถมือสองที่ดี
1.
ตั้งงบประมาณ หรือกำหนดรุ่นที่จะซื้อ ทำไมต้องตั้งงบประมาณ นั่นก็เพราะว่าคุณเองจะได้ไม่แกว่งเวลาเจอรถที่นอกเหนือจากความตั้งใจ เช่น ตั้งงบไว้ 5 แสนบาท จะซื้ออะไรได้บ้างแล้วทำการบ้านนิดหนึ่ง มานั่งไล่ราคาดูว่าได้ยี่ห้อไหน รุ่นไหน และมาจัดลำดับความน่าใช้แล้วจึงค่อยไปหารถ
ทำไมถึงแนะนำแบบนี้ เพราะบางครั้งในงบประมาณเดียวกันถ้าคุณโฟกัสไปที่รุ่นใดรุ่นหนึ่ง อาจจะพลาดรถที่ดีกว่าในราคาที่เท่ากันก็เป็นได้ ยกเว้นแต่เหตุผลด้านความชอบเป็นตัวแปรสำคัญ เช่น ชอบรถยี่ห้อ A รุ่น B ก็ตั้งหน้าตั้งตาหาเฉพาะรถรุ่นนั้นก็ได้
ถ้าเป็นกรณีที่ใช้งบประมาณเป็นตัวกำหนด เช่น มีวงเงิน 5 แสนบาท ลองดูว่ามีรถอะไรอยู่ในวงเงินระดับนี้ อาจจะได้รถซับคอมแพ็คท์ปีใหม่ๆ มีอายุสัก 1-2 ปี หรือได้รถคอมแพ็คท์ ซีดาน อายุ 3-4 ปี หรือได้รถซีดานอายุ 6-7 ปี เป็นต้น
แล้วลองดูว่าลักษณะการใช้งานของคุณ รถกลุ่มไหนที่เหมาะกว่า บางทีเรามองหารถเล็กขนาดซับคอมแพ็คท์ แต่ถ้าดูราคากว้างๆ แล้วเราอาจจะได้รถคอมแพ็คท์ ซีดาน ที่มีขนาดใหญ่กว่า อาจจะเก่ากว่าอีก 2-3 ปี แต่มันยังหารถสภาพดีๆ ได้ไม่ยากก็น่าจะเป็นโอกาสที่ทำให้ได้รถดีๆ ราคาไม่แพง
2.
คำนวณราคารถให้ดี ทำไมต้องคำนวณราคารถให้ดี เพราะว่าหลายคนซื้อรถที่อายุน้อยๆ เช่น 1-2 ปี แล้วรถรุ่นนี้ราคาไม่ตกมากนัก อาจจะต่างกันแสนกลางๆ ระหว่างรถใหม่กับรถมือสองมันอาจจะมองว่ามากก็จริงอยู่ แต่อย่างน้อยขอให้เปรียบเทียบราคากันก่อน ว่ารถรุ่นเดียวกันนี้ถ้าซื้อรถใหม่ดาวน์เท่าไหร่ ดอกเบี้ยเท่าไหร่ ค่างวดต่อเดือนเท่าไหร่ และเมื่อผ่อนจบแล้วเป็นเงินเท่าไหร่
ถ้าซื้อมือสองที่เห็นว่าราคาถูกกว่า 1.5 แสนบาทนั้น ดาวน์เท่าไหร่ ค่าใช้จ่ายในการออกรถเท่าไหร่ ค่างวดเท่าไหร่ และผ่อนจบเป็นเงินเท่าไหร่ บางทีรถมือสองเงินดาวน์มากกว่ารถใหม่อีก รถใหม่บางรุ่นก็แถมประกันชั้นหนึ่ง แต่รถมือสองไม่มี รถมือสองดอกเบี้ยแพงกว่า ที่สำคัญค่างวดการผ่อนรถใหม่กับรถมือสองกรณีนี้อาจจะแตกต่างกันไม่มากนัก และสุดท้ายคือราคาเมื่อผ่อนจบบางครั้งรถมือสองมีราคาใกล้เคียงรถใหม่เลย ถ้าเป็นกรณีนี้ซื้อรถใหม่คุ้มกว่ากันเยอะ
3.
เมื่อเลือกรุ่นได้แล้วต้องทำการบ้านให้ดี เรื่องนี้สำคัญมากเมื่อตัดสินใจว่าจะซื้อรถรุ่นหนึ่ง สิ่งที่คุณจะต้องทำก่อนที่จะไปตระเวนหาซื้อก็คือ ต้องศึกษาว่ารถรุ่นนั้นมีประวัติเป็นอย่างไร เช่น เปิดตัวเมื่อไหร่ เปิดตัวด้วยตัวถังกี่แบบ เช่น 3 ประตู, 4 ประตู ซีดาน, 5 ประตู แฮทช์แบ็ค
เครื่องยนต์มีกี่รุ่น เช่น 1.6, 1.8 หรือ 2.0 ลิตร แล้วเครื่องตัวไหนอยู่ในบอดี้ใดบ้าง ออพชั่นที่มีให้ประกอบด้วยอะไรบ้างทั้งภายนอกภายใน ต่อมาก็คือมีการไมเนอร์เชนจ์หรือปรับปรุงหน้าตาเมื่อไหร่ และปรับปรุงอะไรบ้าง เช่น เครื่องยนต์ เกียร์ ภายนอก ภายใน ฯลฯ
อย่างรถรุ่นหนึ่งออกมาขายปี 2000 มีตัวถัง 2 แบบ คือ 4 ประตู ซีดาน และ 5 ประตู แฮทช์แบ็ค ครั้งแรก 4 ประตู ใช้เครื่อง 1.8 ลิตร ส่วน 5 ประตู ใช้เครื่อง 2.0 ลิตร ต่อมาในปี 2003 มีการไมเนอร์เชนจ์เปลี่ยนหน้าตาใหม่ให้หล่อขึ้น แต่เปลี่ยนเกียร์มาเป็นเกียร์ออโต้แบบ 5 สปีด และรุ่นสุดท้ายหมดที่ปี 2005 มีการเปลี่ยนภายนอกและภายในอีกครั้ง
ทำไมต้องศึกษาขนาดนี้ เพราะรถรุ่นนี้ที่จดทะเบียนปี 2003 มันมีทั้งรุ่นเก่าที่เป็นเกียร์ออโต้ 4 เกียร์ และ 5 เกียร์ บางทีอาจจะไปเจอรถรุ่น 4 เกียร์ที่ถูกปรับโฉมภายนอกใหม่ให้เป็นแบบเดียวกับรุ่น 5 เกียร์ที่ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ ถ้าดูแต่ภายนอกอย่างเดียวก็จะนึกว่ารถใหม่ เพราะช่วงจดทะเบียนมันยื้อกันได้ เมื่อพบแบบนี้ก็รู้ได้ว่ารถคันนั้นไม่เดิม และมาหลอกขายในราคาแพง บางครั้งออพชั่นภายในรถ เช่น ครุยซ์ คอนโทรล หรือระบบแอร์ดิจิตอล ฯลฯ อุปกรณ์พวกนี้เปลี่ยนได้ยากและมีราคาแพง ก็ใช้เป็นจุดสังเกตได้เหมือนกัน
เมื่อไปดูรถต้องตรวจสอบอะไรบ้าง
1.
เอกสารการจดทะเบียน สิ่งแรกที่ต้องทำคือขอดูเอกสารการจดทะเบียนรถ พูดง่ายๆ ก็คือเล่มทะเบียนนั่นเอง สิ่งที่ต้องตรวจสอบคือรายการจดทะเบียนว่าสีรถ เลขเครื่อง เลขตัวถัง ตรงกับรายการจดทะเบียนหรือไม่
ถ้ารถติดแก๊สมีการแจ้งลงเล่มเรียบร้อยหรือยัง ถ้ารายการเกี่ยวกับแก๊สแล้วไม่ได้แจ้งลงเล่มก็ข้ามไปหาคันใหม่เลย เพราะอาจจะไปตรวจแล้วไม่ผ่าน หรือใช้อุปกรณ์ไม่ได้มาตรฐานจนไม่มีวิศวกรเซ็นรับรอง
เมื่อตรวจเช็กรายการข้างต้นแล้วก็เปิดไปหน้าหลังๆ ในบันทึกแก้ไขท้ายเล่มว่ามีการแจ้งขอเล่มทะเบียนใหม่หรือเปล่า เพราะบางครั้งรถที่เปลี่ยนมาหลายๆ มือ จะล้างเล่มด้วยการแจ้งชำรุดหรือหายแล้วขอออกใหม่ เวลาดูก็จะกลายเป็นว่าคนที่มีชื่ออยู่เป็นเจ้าของมือแรก รวมถึงการแก้ไขเปลี่ยนสี เครื่อง จะมีการบันทึกไว้ รวมถึงดูระยะเวลาในการต่อภาษีประจำปีด้วย เช็กด้วยว่า พ.ร.บ. มีเรียบร้อยหรือไม่ เมื่อเอกสารอยู่ครบและถูกต้องเรียบร้อยก็ไปถึงขั้นตอนการดูรถ
2.
เอกสารสำคัญ เมื่อทำการบ้านมาแล้วก็จะรู้ได้เลยว่า รถรุ่นนี้ตรงรุ่นตรงปีหรือไม่ ถ้าเป็นออพชั่นรุ่นแรกแต่หน้าตาใหม่ก็แสดงว่าเปลี่ยนภายนอกมา อาจจะเป็นเพราะเจ้าของเดิมอยากให้ดูใหม่ขึ้น ไม่ก็มีอุบัติเหตุมาเลยเปลี่ยนบอดี้เป็นรุ่นใหม่
ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับเหตุผลอื่นๆ จะมาประกอบกัน ถ้ารถสภาพดีๆ การเปลี่ยนชิ้นส่วนให้เป็นรุ่นใหม่ไม่ใช่เรื่องแปลก ประการต่อมาสอบถามถึงประวัติการซ่อมบำรุง ถ้าเป็นรถไม่เกิน 3 ปี หรือไม่เกิน 1 แสนกิโลเมตร ส่วนใหญ่ยังอยู่ในประกัน ถ้าไม่มีคู่มือที่ลงประวัติการซ่อมบำรุง หรือให้เหตุผลว่าหายก็แสดงว่ารถคันนั้นกรอไมล์มาใหม่ เพราะรถไมล์แท้ๆ จะเก็บเอกสารเหล่านี้ไว้เพื่อเรียกราคา เพราะทำให้ทราบประวัติแท้จริง ถ้าไม่มีอ้างว่าหายก็เริ่มตัดคะแนนรถคันนั้นได้
ถ้าคนขายแจ้งว่าเป็นรถของตนเอง ก็ขอตรวจสอบว่าชื่อตรงกันหรือไม่ ถ้าอ้างว่าใช้ชื่อญาติชื่อแฟนซื้อแล้วมาบอกว่ารถตัวเองก็ตัดคะแนนไปอีก เมื่อตรวจเอกสารสำคัญ และประวัติการซ่อมแล้วก็เริ่มดูที่ตัวรถ เรื่องเอกสารเหล่านี้ถ้าตรวจสอบแล้วเห็นว่าไม่น่าไว้ใจก็ปล่อยผ่านไป รถดีๆ ยังมีอีกเยอะจะได้ไม่ต้องเสียเวลาในการดูรถด้วย
ดูรถตัวจริง
อันดับแรกที่เราจะต้องดูกันก่อนคือความเรียบร้อยของภายนอกโดยรวม เริ่มจากดูไกลๆ ห่างๆ มองให้รอบคัน ถ้ามีสิ่งผิดปกติมันจะเห็นได้ชัด ต่อมาคือดูเรื่องของความสม่ำเสมอของสีรถว่าสีสม่ำเสมอทั้งคันหรือไม่ และโทนสีนั้นเป็นสีเดิมจากโรงงานหรือไม่ โดยเช็กได้จากแค็ตตาล็อกของรถ และความเคยชินที่เราเคยเห็นบนท้องถนน
สีรถเดิมๆ มีอยู่ไม่กี่สี ถ้าเกิดคุณไปเจอสีประหลาดๆ หรือโทนสีแตกต่างจากที่เคยเห็น ให้สงสัยว่าทำสีมาแล้วหรือเปล่า ถ้าเกิดทำสีมาทั้งคันโดยอะไรก็แล้วแต่ ก็ตัดคะแนนรถคันนั้นออกไปอีก หรือถ้าสาดสีเป็นสีเดิมก็จะดูได้จากในห้องเครื่อง หรือในห้องเก็บของด้านท้าย โดยแกะพวกพรมที่ปิดออกดู สีจะต้องอยู่ในโทนเดียวหรือใกล้เคียงกัน
เมื่อดูสีแล้วต่อไปก็ดูสีรอบคันว่าความเข้มของสีใกล้เคียงกันทั้งคันหรือไม่ เพราะถ้ารถได้เกิดอุบัติเหตุมาบริเวณบางส่วนอย่างแก้มข้างหรือประตู เวลาที่ซ่อมสีแล้วสีที่พ่นทับทีหลังก็อาจจะผิดเพี้ยนไปได้ ถ้าเห็นส่วนที่มีสีผิดเพี้ยนก็ให้ดูตรงนั้นเป็นพิเศษหน่อย ถ้าเป็นชิ้นที่สามารถเปลี่ยนได้อย่างแก้มหรือประตู ก็ลองเคาะดูว่าเขาเคาะแล้วโป๊วทับ หรือว่าใช้เปลี่ยนชิ้นนั้นไปเลย
ถ้าเคาะแล้วรู้สึกว่าเหล็กบางเท่ากันกับส่วนอื่นก็แสดงว่าเขาเปลี่ยนชิ้นนั้นไปแล้ว และสังเกตดูว่าถ้าเป็นแก้มชิ้นเดียวหรือประตูบานเดียว ก็ไม่ต้องวิตกกังวลอะไร เพราะรถมือสองมันก็ต้องมีเฉี่ยวมีชนกันอยู่แล้ว
ต่อไปก็ดูถึงความเรียบเนียนของสี โดยมองเฉียงจากทางด้านข้างว่าสีนั้นเรียบเสมอดีทั้งแถบหรือเปล่า ทั้งแถบซ้ายและแถบขวารวมถึงหลังคาด้วย เพราะถ้ารถผ่านการซ่อมหรือเคาะตัวถังมาแล้วถ้าช่างฝีมือไม่ดีจริงก็จะปรากฏริ้วรอยที่เป็นลอนเป็นคลื่นให้เห็น ก็แสดงให้เห็นว่าผ่านมือช่างเคาะทำสีมาแล้ว แถมทำไว้ไม่ดีเสียด้วยก็ตัดคะแนนความน่าใช้ของรถคันนี้ไปอีก
ต่อไปก็ดูตามแนวกระจกหน้า-หลัง และเสากระจกจะต้องเรียบสนิทไม่มีรอยปลิ้นของยางกรอบกระจก และยางก็จะไม่มีการกระดกหรือมีร่องห่างที่เห็นได้ชัด ไม่มีร่องรอยการซีลด้วยซิลิโคน และหลังคาก็จะต้องโค้งเรียบไม่มีคลื่นเคาะฟังดูเสียงจะป๊องๆ บางๆ ถ้าเกิดสังเกตดูแล้วเห็นว่านอกจากหลังคาจะหนาแล้วยังเป็นลอนเป็นคลื่นอีก ก็อาจจะแสดงว่าเกิดอาการหงายมาแล้ว หรืออาจจะผ่าเปลี่ยนครึ่งคันมาก็ได้ยิ่งไม่ควรซื้อเลย
เมื่อสำรวจรอบคันแล้วต่อไปก็สำรวจดูบรรดาโลโกยี่ห้อ ป้ายบอกรุ่นว่ามีครบและตรงตามรุ่นหรือไม่ เพราะบางครั้งที่เข้าอู่ซ่อมสีแล้วเขาหวังดีเปลี่ยนรุ่นมาให้ก็มี หรือบางทีเต็นท์เป็นคนเปลี่ยนเองก็มี
ต่อไปก็ดูลายกระจังและกันชนหน้า-หลัง ไฟหน้า ไฟท้าย ว่าตรงตามรุ่นตามปีที่คุณศึกษามาหรือไม่ ต่อไปก็ดูตามระยะห่างของส่วนต่างๆ พูดง่ายๆ คือช่องไฟระหว่างชิ้นส่วน เช่น ช่องไฟของฝากระโปรงหน้า กระจังหน้า ไฟหน้า แนวประตู ฝาท้าย กันชนท้าย จะต้องมีระยะห่างซ้ายขวาที่เท่ากันและจะต้องไม่ห่างมากนัก ไฟหน้าและไฟเลี้ยวจะต้องแนบสนิทกันกับตัวถัง ถ้าผ่านการซ่อมที่ไม่ดีการประกอบมันจะไม่สนิทดี นั่นก็เป็นการบอกถึงการผ่านอุบัติเหตุมาแล้ว
ลองเปิด-ปิดประตูทุกบาน ประตูจะต้องเปิดง่าย เวลาปิดไม่ต้องออกแรงมาก ต้องปิดสนิทด้วยเสียงที่แน่น และแรงที่ใช้ปิดเบาๆ เท่ากันทุกบาน เวลาเปิดประตูจะต้องไม่ฝืดไม่มีเสียงดัง ระหว่างนี้ก็ดูความสม่ำเสมอของสีภายนอก กับขอบประตูและแนวบันไดว่าเป็นโทนสีเดียวกันหรือไม่ และรถใช้งานมาแล้วต้องมีคราบไคลหรือร่องรอยถลอกบ้าง ถ้าเอี่ยมมากอาจจะถูกทำสีมาใหม่
ห้องเก็บของในฝากระโปรงหลังดูให้ละเอียด ไล่ดูจากแนวไฟท้ายดูว่ามีการแปลงหรือไม่ ซึ่งคุณก็ดูได้จากรอยปั๊มของตัวถังที่เขาจะปั๊มมาจากโรงงาน จะสังเกตได้จากรอยปั๊มเหล่านั้น ถ้าเขาแปลงรุ่นไฟท้ายหรือซ่อมด้านท้ายมาแล้ว พวกรอยปั๊มต่างๆ ก็ไม่ค่อยจะเหลืออยู่ เพราะบางอู่ฝีมือการเคาะไม่ถึงก็มี จะทิ้งร่องรอยไว้ให้เห็นเยอะ
ถ้าเจอรถที่ผ่าเปลี่ยนท้ายมาแล้วก็จะดูยากหน่อย บางครั้งงานที่ได้นั้นก็เนี้ยบมากขนาดคนที่เป็นช่างบางคนยังดูไม่ค่อยจะรู้เลย ตรงนี้ก็เป็นจุดที่ผู้ซื้อรถต้องดูให้รอบคอบและต้องใจเย็นๆ ดูได้จากความเรียบเนียนของเหล็ก ถ้าเกิดผ่านการเคาะมาแล้วและเก็บเรียบไม่ดี ก็จะเป็นรอยคลื่นให้เห็น มุดดูใต้ท้องจะเห็นรอยได้ชัดเพราะใต้ท้องอู่มักจะไม่ค่อยให้ความสำคัญเพราะซ่อมยาก และชิ้นส่วนพวกพลาสติกที่ประกอบอยู่ภายในจะประกอบไม่แนบสนิท มีบิดมีเบี้ยวให้เห็นก็แสดงว่าการเคาะทำไม่ดี หมายความว่าอาจจะชนมาแรงมากก็ได้
ในส่วนของห้องเครื่องที่เห็นได้ชัดคือคานใต้หม้อน้ำ ถ้าเกิดอุบัติเหตุเขาไม่ค่อยจะเปลี่ยนกัน แต่จะใช้การปะเอา ซึ่งถ้าคุณมุดดูถ้าเห็นรอยปะก็คงไม่ต้องบอก จากนั้นก็ก้มดูตามตะเข็บชายน้ำในอุโมงค์ล้อ ว่าเห็นร่องรอยผิดปกติไม่ว่าจะเป็นรอยปะหรือรอยเชื่อม ถ้าง้างแผงกันโคลนด้านในออกดูได้ก็จะดี
ดูพื้นใต้ท้องรถด้วยว่ามีรอยบุบบ้างหรือเปล่า ถ้ามีรอยบุบหรือรอยครูดมากๆ ก็แสดงว่ามันถูกโหลดมาแล้ว ดูชิ้นส่วนใต้ท้องรถจะบ่งบอกได้หลายอย่างว่าซ่อมมาบ้างหรือยัง บางทีรถใหม่ๆ แต่ปีกนกหรือคานมีสีที่เขียนด้วยมือบอกรหัสตัวถังแสดงว่าซ่อมใหญ่มาแล้ว
ตรวจเช็กภายในห้องโดยสาร
เมื่อดูภายในทุกอย่างตรงกับรุ่นแล้ว ต่อไปก็ดูความเรียบร้อยของชิ้นส่วนภายในทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นแผงหน้าปัด แผงข้าง ดูความเรียบร้อย และช่องไฟว่าเนียนหรือไม่ ถ้ามีรอยงัดแงะในจุดที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นก็อาจจะแสดงว่าโดนรื้อหรือยำมาแล้ว อย่างเช่น แผงคอนโซลกลาง ช่องแอร์ รอยต่อระหว่างคอนโซลหน้ากับแผงประตูมันต่อกันสนิทดีไหม ถ้าเบี้ยวไปข้างประกอบกันไม่สนิทจนเห็นชัดระวังไว้ให้ดี เวลาดูนั้นให้ดูอย่างจับผิดให้มากที่สุด เพราะเราจะได้เห็นข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ ได้ชัดเจน
จากนั้นก็ดูเลขไมล์ ถ้าตัวเลขขึ้นน้อยแต่ว่าแป้นเบรก แป้นคลัตช์ และคันเร่งสึกมากอย่างเห็นได้ชัด หรือพวงมาลัย และหัวเกียร์มันเงาเกินจริง ก็แสดงว่ามันปั่นไมล์มาแล้วแหงๆ เรื่องปั่นไมล์นี้จานเบรกก็บอกได้เหมือนกัน รถวิ่งน้อยจานเบรกจะสึกน้อย ถ้าจานเบรกสึกมากรับกับสภาพของพวงมาลัย คันเกียร์ แป้นเบรก คันเร่ง หรือแม้แต่คลัตช์ แสดงว่ารถถูกปรับเลขไมล์มาใหม่
ห้องเครื่องดูให้ดี
ควรจะมีสภาพเดิมๆ อย่างที่ออกมาจากโรงงานเป็นดีที่สุด เลขเครื่องไม่มีร่องรอยแก้ไข รวมถึงรถที่เปลี่ยนเครื่องแล้วก็ไม่น่าซื้อเท่าไหร่นัก ดูภาพรวมของอุปกรณ์ต่างๆ ในห้องเครื่อง เช่น สายไฟ ท่อทางเดินต่างๆ จะต้องเรียบร้อยไม่รุงรัง
ดูร่องรอยการรั่วซึมว่ามีหรือไม่ โดยเฉพาะบริเวณเสื้อสูบ ฝาสูบ และฝาครอบวาล์ว ปกติจะล้างกันอยู่แล้ว แต่เราก็พอที่จะสังเกตได้บ้างโดยดูจากเสื้อสูบ ถ้าใช้น้ำร้อนล้างเครื่องมันก็จะมีคราบด่างๆ ของน้ำมันเครื่องที่ถูกล้างออกไปอยู่
นอกจากนั้นก็ดูความเรียบร้อยของสภาพนอตยึดต่างๆ ว่ามีสภาพดีหรือไม่ อันนี้รวมไปถึงสภาพใต้ท้องรถบริเวณห้องเกียร์ กระปุกพวงมาลัยและแร็คเพาเวอร์ด้วย ถ้ามีการรั่วซึมของน้ำมันจนติดเป็นคราบ เมื่อล้างด้วยน้ำร้อนหรือน้ำยาล้างคราบมันต่างๆ ก็ยังจะทิ้งคราบเอาไว้ให้เห็น ถ้าเป็นการรั่วซึมนิดหน่อยก็พอทำเนา เพราะรถใช้งานยังไงมันก็ต้องสึกหรอเป็นธรรมดา ถ้าเป็นคราบมากๆ ข้างในมันอาจจะโทรมแล้ว ถ้ารถไม่ได้ล้างห้องเครื่องมาจะยิ่งดีมากๆ เพราะเราจะเห็นสภาพได้ชัดเจน และแสดงว่าคนขายไม่ได้ตั้งใจจะย้อมแมวมาหลอกเรา
สุดท้ายก่อนวางเงินจอง
ต้องทำทุกอย่างที่กล่าวมาก่อนวางเงินจองหรือมัดจำ ถ้าใครให้วางเงินก่อนก็ไม่ต้องซื้อ รถมีให้เลือกเยอะ การซื้อรถมือสองต้องเตือนตัวเองว่าอย่าใจเร็วด่วนได้ เพราะอาจจะได้รถไม่ดี สู้ช้าๆ แต่ได้รถงามๆ ดีกว่ากันเยอะ
เมื่อผ่านขั้นตอนทั้งหมด และสรุปว่ารถน่าซื้อก็ตกลงเรื่องราคาเรื่องการมัดจำ รายละเอียดต่างๆ ต้องลงไว้ให้ครบ ไม่ว่าจะเงื่อนไขอะไรต้องลงเป็นลายลักษณ์อักษร เป็นวาจามันไม่มีหลักฐาน เพราะฉะนั้นทำอะไรแล้วต้องเป็นหลักฐานได้เสมอ
กรณีซื้อเงินสด ดูว่ารถคันนั้นติดไฟแนนซ์หรือไม่ ถ้าไม่ติดก็จูงมือกันไปที่ขนส่งไปโอนให้เรียบร้อย อย่าใช้หน้าม้า ให้ตรวจตามขั้นตอนปกติเท่านั้น ถ้าเขาเร่งรัดว่าให้ใช้หน้าม้าก็แสดงว่าไม่บริสุทธิ์ใจ เพราะการโอนรถเดี๋ยวนี้ใช้เวลาไม่นาน
ถ้ารถคันนั้นติดไฟแนนซ์ เมื่อตกลงว่าจะซื้อ-ขายกันอย่าเพิ่งวางมัดจำ ให้ติดต่อกับไฟแนนซ์ก่อน เพราะคนที่มีชื่อในเล่มทะเบียนนั้นยังไม่ใช่เจ้าของรถ เจ้าของรถตัวจริงคือไฟแนนซ์ การทำธุรกรรมใดๆ ต้องให้ไฟแนนซ์เป็นคนจัดการ
เมื่อติดต่อไปไฟแนนซ์จะบอกเองว่าต้องทำอย่างไรบ้าง และต้องเข้าไปที่ไฟแนนซ์เพื่อเปิดสัญญาซื้อ-ขาย เช่น ตกลงราคาซื้อ-ขายกันราคา 5 แสนบาท รถค้างไฟแนนซ์ 3 แสนบาท เราก็จ่ายให้ไฟแนนซ์ 3 แสนบาท และให้เจ้าของรถ 2 แสนบาท ไม่ใช่จ่ายให้เจ้าของรถโดยตรงทั้งหมด ส่วนเรื่องค่าธรรมเนียมต่างๆ ก็คุยกันว่าใครจะรับผิดชอบ
กรณีซื้อแล้วเข้าไฟแนนซ์ ถ้ารถคันนี้ไม่ติดไฟแนนซ์ เราก็ต้องหาไฟแนนซ์ก่อนโดยทางไฟแนนซ์จะเตรียมเอกสารให้ และประเมินว่ารถคันนั้นเข้าไฟแนนซ์ได้เท่าไหร่ เช่น ตกลงกันกับเจ้าของรถในราคา 5 แสนบาท ไฟแนนซ์ให้ 4 แสนบาท คุณก็ต้องเอาเงินสดให้เจ้าของรถอีก 1 แสนบาท ส่วนเรื่องค่าธรรมเนียมการจัดไฟแนนซ์ คนซื้อก็ต้องรับผิดชอบกันไป เมื่อไฟแนนซ์ผ่านก็จะจ่ายแคชเชียร์เช็คให้เจ้าของรถ และไปโอนกรรมสิทธิ์เป็นของไฟแนนซ์ ส่วนเรามีชื่อแค่ผู้ครอบครองเท่านั้น
การซื้อ-ขายต้องหลีกเลี่ยงการโอนลอยทุกกรณี เพื่อตัดปัญหาในระยะยาว ถ้าซื้อหรือขายรถติดไฟแนนซ์ต้องแจ้งไฟแนนซ์ก่อนทุกครั้ง เพื่อให้เขาเตรียมเอกสารในการโอนเปลี่ยนมือ ถ้าใครบอกขายรถติดไฟแนนซ์แล้วโอนลอยให้ก็โบกมือบ๊ายบายได้เลย ไม่ต้องสนใจ
ส่วนท่านที่จะขายรถแล้ว รถตัวเองติดไฟแนนซ์ ก็ต้องแจ้งให้ไฟแนนซ์ทราบ และให้ไฟแนนซ์เป็นผู้ดำเนินการเท่านั้น ไม่เช่นนั้นอาจจะเสียรถฟรีๆ โดยที่ยังต้องผ่อนรถคันนั้นต่อเพราะโดนเชิดไป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น