เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตอบได้ยาก เพราะว่าหลายต่อหลายคนเวลาชนกันที่ไรที่นอกจากความปลอดภัยแล้ว ตัวรถเป็นอีกเรื่องที่เราไม่สามารถมองข้ามไปได้
ครั้งหนึ่งที่เคยรถล้มสิ่งแรกเลยที่ผมคิดนั้นคือเห้ยรถมันพังแน่ๆ ไหนจะค่าซ่อม ไหนจะค่าสีอีกต่างหาก?
ซึ่งในระดับพนักงานธรรมดาอย่างเราคงจะเป็นเรื่องที่ปวดหัวเป็นอย่างมากเลยที่เดียว ที่แพงนั้นเป็นเพราะสีรถยนต์อาจจะแตกต่างกับสีกับรถธรรมดาอย่างรถมอเตอร์ไซต์ แน่นอนว่าการเพ้นท์สีของรถเป็นเรื่องที่มีต้นทุนสูง เพราะว่าซึ่งต่างประเทศ มักใช้เครื่องมือที่เรียกว่า CADIF เป็นระบบอบสีด้วยรังสีอินฟราเรด ช่วยให้สามารถควบคุมตัวแปลต่างๆ อาทิ อุณหภูมิ หรือระยะเวลาที่แล้วเสร็จได้แม่นยำ ทำให้ชิ้นงานมีคุณภาพ ลดเวลาการพ่นสี ลดเวลาในการอบแห้ง และที่สำคัญยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย บางแห่งยังมีเครื่องอบสีแบบเคลื่อนย้ายได้ (PENDILINO) สามารถอบสีด้วยระบบอินฟราเรดนอกห้องอบสีได้ จึงสะดวกและรวดเร็ว เมื่อทางเจ้าของอู่รถนั้นมีอุปกรณ์ที่ทันสมัยนั้นหมายความว่า รถที่เราต้องไปทำสีใหม่คงจะมีราคาแพงเลยที่เดียว
สำหรับโรงงานใหญ่ๆ ที่เป็นอู้ช่างสีรถนั้นจะมีเครื่องมือหนึ่งที่เขาเรียกว่า Robot painting หรือ Painting test ซึ่งเป็นงานที่เขาทำสีรถกัน อีกทั้งมีการเคลือบอบสีเพื่อให้สีของรถนั้นดูสวยงานและเงางาม
นอกจากห้องอบสีระบบอินฟราเรดแล้ว ยังมีชุดซ่อมตัวถังรถยนต์ (FLATLINER) ที่สามารถซ่อมรอยบุบ รอยลักยิ้ม ได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องถอดชิ้นส่วนให้เสียเวลา ชุดซ่อมรอยบุบขนาดใหญ่ (DENT RELIEF) มีลักษณะเป็นถุงเคฟลาร์ 3 ขนาด ทำหน้าที่ดันลอยบุบออกมาในระยะที่ต่างกัน (ทำหน้าที่เป็นตัวเสริมชุด FLATLINER) ชุดซ่อมงานที่ทำด้วยพลาสติค (PLASTIC REPAIR) เป็นการซ่อมโดยใช้ความร้อน โดยสามารถเลือกระดับความร้อนให้เหมาะสมกับชิ้นงาน โดยมีชุดกาวผสมโพลียูรีเธน ซ่อมพลาสติคได้โดยไม่ต้องใช้วิธีเชื่อม ทำให้ผสานเนื้อพลาสติดได้อย่างแนบเนียน
อื้อ ! ก็คงจะเป็นไปตามนั้นหากว่าเราไม่อยากให้เสียเวลาในการทำสีรถใหม่แล้ว ควรขับรถอย่างระมัดระวัง เพราะกว่าจะซ่อมรถได้ในแต่ละครั้งคงต้องใช้เวลาพอสมควร
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น